เคล็ดลับจัดกระเป๋าเที่ยวสำหรับ Backpacker

การแบกเป้เดินทาง (Backpacking) เป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะช่วยให้นักเดินทางสามารถท่องเที่ยวได้อย่างอิสระ โดยไม่ติดยึดกับตารางเวลาหรือสถานที่ใดๆ อย่างไรก็ตาม การแบกเป้เดินทางก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องเตรียมตัวและวางแผนอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะการจัดกระเป๋าเดินทางแบบประหยัดพื้นที่ ใครอยากรู้เคล็ดลับดี ๆ ตามมาได้ที่นี่

 

 

  1. วางแผนการเดินทาง

สิ่งแรกที่ควรทำก่อนจัดกระเป๋าเดินทางคือ วางแผนการเดินทางให้ชัดเจนว่าจะไปที่ไหน นานแค่ไหน สภาพอากาศเป็นอย่างไร กิจกรรมที่จะทำมีอะไรบ้าง ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้สามารถจัดกระเป๋าได้อย่างเหมาะสม

 

  1. เลือกกระเป๋าเดินทางที่เหมาะสม

กระเป๋าเดินทางสำหรับ Backpacker ควรมีน้ำหนักเบา ทนทาน และจุของได้พอดีกับความต้องการ 

 

  1. จัดกระเป๋าให้พอดีกับน้ำหนัก

น้ำหนักของกระเป๋าเดินทางไม่ควรเกิน 10-15% ของน้ำหนักตัว เพราะจะทำให้แบกหนักและเมื่อยล้าได้ง่าย แนะนำให้จัดกระเป๋าโดยใส่เสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็นเท่านั้น หลีกเลี่ยงการใส่ของหนักหรือของที่ไม่จำเป็น

 

  1. จัดกระเป๋าให้กระจายน้ำหนัก

การกระจายน้ำหนักของกระเป๋าเดินทางอย่างเหมาะสมจะช่วยให้แบกได้สบายขึ้น แนะนำให้ใส่ของหนักไว้ตรงกลางกระเป๋า ของเบาไว้ด้านข้าง และของสำคัญไว้ที่ด้านบนของกระเป๋า

 

  1. ใช้ถุงซิปล็อก

ถุงซิปล็อกช่วยป้องกันไม่ให้เสื้อผ้าและของใช้เปียกหรือเลอะเทอะ แนะนำให้ใส่เสื้อผ้าและของใช้ทั้งหมดใส่ถุงซิปล็อกแยกกัน เพื่อความสะดวกในการหยิบใช้และทำความสะอาด

 

  1. พกเสื้อผ้าน้อยชิ้น

เสื้อผ้าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ทุกวัน ดังนั้นจึงควรเลือกเสื้อผ้าที่ใส่สบาย ระบายอากาศได้ดี และแห้งเร็ว แนะนำให้พกเสื้อผ้าเพียง 7-10 ชิ้นเท่านั้น หากจำเป็นสามารถซักเสื้อผ้าระหว่างเดินทางได้

 

  1. พกของใช้ที่จำเป็น

ของใช้ที่จำเป็นสำหรับการเดินทาง ได้แก่ เอกสารสำคัญ ยารักษาโรค อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์แต่งหน้า เสื้อผ้าชั้นใน รองเท้า เป็นต้น แนะนำให้พกของใช้ที่จำเป็นเท่านั้น หลีกเลี่ยงการพกของใช้ที่ไม่จำเป็น เพราะจะทำให้กระเป๋าหนักและเมื่อยล้า

 

ข้อควรระวังในการแบกเป้เดินทาง

 

  • ควรแบกกระเป๋าให้พอดีกับสรีระ ไม่ควรใช้กระเป๋าที่หนักเกินไปหรือแบกไม่ถนัด โดยสะพายสายกระเป๋าให้กระชับแต่ไม่แน่นจนเกินไป

 

  • ควรพักบ่อยๆ การเดินแบกเป้เป็นเวลานานอาจทำให้เมื่อยล้าได้ แนะนำให้พักบ่อยๆ อย่างน้อยทุกๆ 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย

 

  • ควรดูแลกระเป๋าเดินทางให้สะอาดอยู่เสมอ ด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ หรือใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดทำความสะอาด

 

การแบกเป้เดินทางเป็นประสบการณ์ที่สนุกและน่าตื่นเต้น แต่ควรเตรียมตัวและวางแผนอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะการจัดกระเป๋าเดินทาง เพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย

 …

เจาะเหตุผล! ทำไม The Glory ถึงกลายเป็นซีรี่ย์ยอดนิยม

 

ในช่วงที่ผ่านมา คงไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินชื่อซีรี่ย์เกาหลีอย่างเรื่อง ‘The Glory’ ที่เล่าถึงเรื่องราวการแก้แค้นของ ‘มุงดงอึน’ หญิงสาวที่ถูกกลั่นแกล้งและต้องลาออกจากโรงเรียน จนถึงขั้นอยากจบชีวิตตัวเอง แต่เมื่อดงอึนได้ตระหนักถึงความจริงที่ว่ากลุ่มคนที่แกล้งเธอต่างหากที่ควรได้รับการชดใช้ ดงอึนจึงลุกขึ้นมาวางแผนและเฝ้ารอการแก้แค้น ซึ่งกลายเป็นซีรี่ย์ที่โด่งดังเรื่องหนึ่งของ Netflix เลยทีเดียว แต่ทำไม The Glory ถึงได้รับความนิยมขนาดนี้ เราจะพามาเจาะลึกกัน 

การนำเสนอเรื่องราวของ ‘เหยื่อ’ ได้อย่างเข้มข้น

อย่างที่ทราบกันดีแกนของเรื่องคือการที่ดงอึน หรือนางเอกของเรื่อง ถูกกลั่นแกล้งและบูลลี่จากเพื่อนผู้มีอิทธิพล จนนำไปสู่การแก้แค้น ดังนั้นการที่ซีรี่ย์เล่าถึงการโดนกลั่นแกล้งของดงอึนที่เป็นเหยื่อในอดีตได้อย่างเข้มข้นถึงใจ จึงสามารถสร้างความรู้สึกร่วม ทำให้คนทั่วไปอยากติดตามรอดูการแก้แค้นของดงอึน โดยไม่มีความรู้สึกสงสาร หรือเห็นใจเหล่ากลุ่มผู้กระทำการกลั่นแกล้งเลยสักนิด

 

การนำเสนอเรื่องที่กระชับ ไม่อ้อยอิ่ง

นี่คงเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ เพราะ The Glory แทบจะไม่มีช่วงเวลาให้ต้องรู้สึกเบื่อกับเรื่องราวได้เลย ในซีรี่ย์เรื่องนี้ต่างมีเหตุการณ์และปมที่เกิดขึ้นอยู่แทบจะในทุกช่วง ทั้งการเผชิญหน้า การวางแผน ทำให้เมื่อได้ดู The Glory ไปครั้งหนึ่งแล้ว คุณจะแทบหยุดดูจนจบไม่ได้เลยทีเดียว

 

ยกประเด็นบูลลี่มาเล่นได้ถูกช่วงเวลา

แน่นอนว่าการบูลลี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด แต่ในปัจจุบันที่ผู้คนในสังคมมีความก้าวหน้าและความตระหนักรู้มากขึ้น การยกประเด็นเรื่องนี้มาเล่าได้อย่างถึงพริกถึงขิง จึงเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ถูกนำเสนออย่างถูกที่ถูกเวลา ทำให้ผู้คนได้เข้าใจประเด็นการกลั่นแกล้งกันในหมู่เด็กมากขึ้น จนมีผู้คนที่เคยโดนกลั่นแกล้ง หรือถูกบูลลี่จำนวนหนึ่งออกมาเล่าประสบการณ์ให้สังคมได้รับรู้กันอีกด้วย

บอกต่อแอปฯ ฟังเพลงที่มีติดไว้ ฟังเพลงฟินๆ ได้ทุกเวลา

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการฟังเพลงถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรากันไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นขณะที่เรานั่งทำงาน อาบน้ำ ขับรถ ทำอาหาร หรือแม้กระทั่งเดินอยู่ในห้างสรรพสินค้า แต่สำหรับคอเพลงคนไหนที่อยากเข้าถึงเพลงหลากหลายประเภท หลากหลายแนวได้อย่างสะดวกกว่า บนสมาร์ตโฟนที่คุณสามารถเปิดฟังได้ทุกเมื่อ ทุกที่ วันนี้เราได้รวบรวม 3 แอปฯ ฟังเพลงที่ควรมีติดสมาร์ตโฟนคุณไว้มาฝากกัน

girl-listen-to-music

 

  • Spotify

 

มาเริ่มกันที่แอปฯ ยอดนิยมอย่าง Spotify ที่เรียกได้ว่าฮิตไปทั่วโลก เพราะนอกจากเพลงฮิตที่ติดกระแสแล้ว ยังมีเพลงนอกกระแส หรือเพลงอินดี้รวบรวมไว้ให้คุณเลือกอีกมากมาย แถมคุณยังสามารถจัดเพลย์ลิสต์ได้เองอีกด้วย สามารถใช้งานได้หลากหลายแพลตฟอร์ม ทั้งสมาร์ตโฟร แท็บเล็ต รวมไปถึงคอมพิวเตอร์ โดยสำหรับใครที่อยากฟังเพลงกันแบบคุณภาพดี ไม่มีโฆษณาคั่น ้ราขอแนะนำให้ลอง Spotify Premium เลย ที่สามารถหารกับเพื่อนได้มากสุด 6 คน ตกคนละประมาณ 30-50 บาทต่อเดือนเท่านั้น

 

  • JOOX

 

ใครที่กำลังมองหาแอปฯ ฟังเพลงพร้อมเพลย์ลิสต์ที่ได้จัดเข้าหมวดไว้ให้คุณแล้ว ต้อง JOOX เลย ที่มีครบทุกรูปแบบเพลง ถ้าใครอยากฟังเพลงแบบไม่มีโฆษณาคั่น ก็สามารถสมัครเป็นแบบรายเดือนได้เช่นกัน โดยค่าสมาชิกสำหรับ JOOX VIP 1 เดือน เริ่มต้นเพียง 49 บาทเท่านั้น

 

  • Apple Music

 

สาวก Apple ทั้งหลายต้องรู้จัก Apple Music กันเป็นอย่างดีแน่นอน ที่ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการฟังเพลงที่หลากหลาย รวมทั้งยังถูกต้องตามลิขสิทธิ์อีกด้วย โดยส่วนใหญ่จะเป็นเพลงตลาด ใครที่เป็นแฟนเพลงป๊อป หรือชอบฟังเพลงจาก Billboard ต้องถูกใจอย่างแน่นอน โดยคุณสามารถใช้งานสมาชิก Apple Music ได้ฟรี 1 เดือน หลังจากนั้นจะมีค่าบริการอยู่ที่เดือนละ 139 บาทต่อเดือน

 

ทั้ง 3 แอปพลิเคชันนี้หากคุณมีติดเครื่องไว้ คุณจะได้เข้าสู่โลกแห่งเสียงเพลงอย่างเต็มรูปแบบ มาพร้อมคุณภาพเสียงที่ดี แถมยังสามารถเปิดฟังได้ทุกที่ทุกเวลาอย่างแน่นอน

เพลงนี้ติดหู ร้องซ้ำๆ ไปทั้งวัน แก้ยังไงดี?

เพลงติดหู

เชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นคอเพลงหรือไม่ใช่คอเพลง ก็น่าจะเคยมีประสบการณ์ในการเจออาการเพลงติดหูกันมาบ้าง ที่ทำให้คุณต้องร้องเพลง ฮัมเพลง หรือนึกถึงเพลงนี้ไปทั้งวัน หรือบางคนถึงขั้นนอนไม่หลับเลยทีเดียว แต่จะมีวิธีแก้อย่างไรบ้าง เรานำคำแนะนำดีๆ จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาฝากกัน

 

 

  • หลีกเลี่ยงฟังเพลงก่อนนอน

 

เนื่องจากเพลงก่อนนอนนั้นจะทำให้ระบบสมองจดจำก่อนที่ระบบสมองและร่างกายส่วนอื่นๆ จะพักผ่อน จึงอาจทำให้เกิดภาวะเพลงติดหู ที่ส่งผลให้นอนไม่หลับได้

 

 

  • พยายามอย่าเปิดเพลงนั้นซ้ำบ่อยๆ

 

แน่นอนว่าส่วนใหญ่แล้ว อาการติดหูมักจะเกิดจากการที่คุณเปิดฟังเพลงนั้นซ้ำๆ กันอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นจากทำนองที่ชวนติดตาม หรือเนื้อรองที่ชวนให้ร้องนั่นเอง

 

 

  • การฟังเพลงจนจบ

 

การฟังเพลงจนจบถือเป็นอีกวิธีในการสลัดเพลงติดหูของหลายๆ คนออกไป เนื่องจากการฟังเพลงแบบทีละท่อน หรือฟังแบบครึ่งๆ กลาง อาจทำให้เกิดเซกานิก เอฟเฟกต์ (Zeiganik Eccts) ที่ทำให้สมองพยายามคิดวนเวียนนั่นเอง

 

 

  • เคี้ยวหมากฝรั่ง

 

อีกหนึ่งวิธีแก้ปัญหายอดฮิตของใครหลายคนนั่นก็คือการเคี้ยวหมากฝรั่ง ที่แพทย์ได้มีการวิจัยออกมาแล้วว่าการขยับขากรรไกรจะทำให้ความสามารถทางด้านดนตรีลดลงนั่นเอง

 

 

  • หันไปทำกิจกรรมอื่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการหมกหมื่นอยู่กับเพลงติดหู

 

เนื่องจากการทำกิจกรรมอย่างอื่น เป็นการเบี่ยงเบยสมาธิของคุณให้จดจำเรื่องอื่นๆ แทน ที่บางครั้งคุณอาจจะลืมนึกถึงเพลงที่ติดอยู่ในหัวเลยก็ได้

 

เป็นยังไงกันบ้างสำหรับเทคนิคการสลัดเพลงติดหูมาฝากกัน รับรองว่าทำได้ง่ายๆ ไม่มีอะไรมารบกวนจิตใจและอารมณ์อีกต่อไปแล้ว และยังช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นอีกด้วย

เลือกเพลงก่อนนอนอย่างไร ให้หลับสบาย ฝันดี

รู้หรือไม่? ว่าการเลือกเปิดเพลงก่อนที่ถูกประเภท ก็จะช่วยทำให้คุณหลับสบาย นอนฝันดีได้เช่นกัน แต่จะมีเพลงประเภทไหนบ้าง ที่มีวิจัยแนะนำออกมาว่าช่วยให้จิตใจคุณสงบมากขึ้น แถมใครที่ชอบนอนไม่หลับอยู่บ่อยๆ เสียงดนตรีประเภทนี้ก็อาจจะช่วยได้ เราไปดูกันเลย

ฟังเพลงก่อนนอน ช่วยได้อย่างไรบ้าง?

การฟังเพลงก่อนนอนจะช่วยให้กล้ามเนื้อของคุณนั้นคลายตัวได้ดีขึ้น แถมยังช่วยให้การหายใจและการเต้นของหัวใจนั้นช้าลง พร้อมกับทำให้การหลั่งฮอร์โมน Cortisol นั้นลดลง ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเครียดและความวิตกกังวลได้นั่นเอง นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยออกมาบอกว่าการฟังเพลงก่อนนอนยังช่วยให้เด็กและผู้สูงอายุรู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับได้ดีขึ้นอีกด้วย

 

เพลงแนวไหนควรเปิดฟังก่อนนอน?

  1. เพลงอินดี้ช้า ๆ: ให้ความรู้สึกเคลิบเคลิ้ม เพลิดเพลินได้มากขึ้น
  2. เพลงดนตรีธรรมชาติ: ช่วยทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย เหมือนได้พักผ่อนท่ามกลางเสียงธรรมชาติ
  3. เพลงคลาสสิก: การฟังเพลงคลาสสิกจะช่วยทำให้คุณรู้สึกได้รับพลังงานมากขึ้น แถมยังรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับตัวโน้ตที่บรรเลงได้อย่างเพราะจากเมโลดี้ที่คุณคุ้นหูอีกด้วย
  4. เพลงช้า: แน่นอนว่าเพลงช้า หรือที่มีความเร็วอยู่ที่ 60-80 BPM ซึ่งเป็นอัตราที่ใกล้เคียงกับการเต้นของหัวใจ จะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย ปรับให้อัตราการเต้นของหัวใจนั้นสม่ำเสมอ และคงที่มากขึ้น

 

เป็นยังไงกันบ้างสำหรับข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ดีๆ และประเภทของการฟังเพลงก่อนนอนที่เรานำมาฝากกัน รับรองว่าหากคุณนอนไม่หลับ ลองนำประเภทของเพลงเหล่านี้ไปเปิดฟังก่อน แล้วจะทำให้คุณหลับสบาย จิตใจสงบ และมีสมาธิในการทำงานหลังจากตื่นนอนมากขึ้นอีกด้วย

 เลือกเคสอย่างไรให้ Macbook ไม่ร้อน ไม่พังเร็ว?

เคส Macbook ถือเป็นอีกหนึ่งไอเท็มสำคัญที่ช่วยปกป้องไม่ให้ตัวเครื่องได้รับการกระทบกระเทือน อีกทั้งยังช่วยซับแรงกระแทกที่อาจทำให้เกิดความผิดปกติในระบบการทำงานได้ อย่างไรก็ดี หลายคนก็อาจมองว่า เคส Macbook นั้นอาจเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ตัวเครื่องร้อน และทำให้อายุการใช้งานของ Macbook สั้นลง แต่หากยังจำเป็นต้องใช้งาน Macbook อยู่ เราควรจะเลือกเคสอย่างไรให้เหมาะสมและทำให้ Macbook ทำงานได้เป็นปกติ ไม่เสื่อมอายุไว ที่นี่มีคำตอบ!

อย่านำสิ่งของไปปิดช่องระบายความร้อนของ Macbook

ก่อนที่ตัดสินใจเลือกใช้งานเคส Macbook ทุกครั้ง สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาให้ดี คือ การทำความรู้จักพัดลมและบริเวณระบายความร้อนของ Macbook ก่อน ซึ่งแต่ละรุ่นนั้นจะมีช่องระบายความร้อนที่แตกต่างกันไป แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ช่องระบายความร้อนส่วนใหญ่จะอยู่ที่บริเวณหน้าจอและคีย์บอร์ด

ดังนั้น เพื่อเป็นการรักษาอายุการใช้งานของ Macbook ให้นานที่สุด ขอแนะนำว่าอย่าใช้ตัวป้องกันคีย์บอร์ดที่เป็นซิลิโคน รวมไปถึงฟิล์มและอุปกรณ์ป้องกันบริเวณระบายความร้อนของ Macbook 

เลือกเคสมีร่องระบายความร้อน

นอกจากจะทำความรู้จักกับบริเวณระบายความร้อนของแต่ละรุ่นแล้ว อีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ต้องเช็กให้ดีก่อนเลือกซื้อเคส Macbook คือ การเลือกดีไซน์ที่มีการออกแบบร่องระบายความร้อนให้เหมาะสม ซึ่งการมีร่องระบายความร้อนนี้จะช่วยให้ Macbook ระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาความร้อนสะสมที่อาจทำให้ Macbook ร้อนจนอายุการใช้งานสั้นลงได้ นอกจากนี้ การเลือกเคส Macbook ยังควรเลือกเป็นวัสดุน้ำหนักเบา แต่มีความทนทาน อย่างพลาสติกประเภทต่าง ๆ แทนการใช้โลหะ เพราะอาจทำให้ความร้อนสะสมเพิ่มขึ้นได้ 

 

เพียงเท่านี้ทุกคนก็สามารถเลือกเคส Macbook ให้ตอบโจทย์และเหมาะสมกับการใช้งานแล้ว อย่าลืมนำเทคนิคการเลือกเคสที่นำมาฝากนี้ไปปรับใช้ก่อนตัดสินใจซื้อด้วยนะ

 …

3 ตัวเต็งคว้าออสการ์ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมปี 2023

“เมื่อคุณมองข้ามกำแพงสูง 1 นิ้วที่ชื่อว่า ‘ซับไตเติล’ คุณจะได้ค้นพบกับหนังดีๆ อีกมากมาย” นี่คือหนึ่งในสปีชที่เปลี่ยนแปลงโลกภาพยนตร์ไปตลอดกาลของบงจุนโฮ ผู้กำกับชาวเกาหลีใต้ที่พาภาพยนตร์เรื่อง Parasite ไปคว้ารางวัลใหญ่ Best Picture ของออสการ์ ทำให้นับตั้งแต่มันภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศเริ่มได้รับความสนใจจากออสการ์มากขึ้นเรื่อย ๆ

ในปี 2022-2023 ก็เช่นเดียวกัน มีภาพยนตร์ภาษต่างประเทศมากมายที่กรีฑาทัพออกมาอย่างโดดเด่น แต่ 3 เรื่องที่จะเป็นตัวเต็งเข้าชิงมีดังต่อไปนี้

หนัง

Decision to Leave

Park Chan-wook คือชื่อที่ได้รับการยอมรับใน Academy อยู่แล้วนับตั้งแต่ “Sympathy for Mr. Vengeance” และ “Oldboy” อย่างไรก็ตาม “Decision to Leave” เปิดให้เขารู้จักกับผู้ชมมากขึ้นด้วยภาพยนตร์นัวร์ที่มีสไตล์เกี่ยวกับนักสืบบนเส้นทางของหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายที่อาจฆ่าสามีของเธอเอง ส่วนการเล่าเรื่องยังคงจัดจ้าน โดดเด่นด้วยสไตล์เฉียบขาดเช่นเดิม

 

Saint Omer

ในบรรดาผภาพยนตร์ตัวเต็งที่จะเข้าชิงทั้งหมด “Saint Omer” เป็นหนึ่งในเรื่องที่ท้าทายและทะเยอทะยานยิ่งกว่าเรื่องไหน ๆ เนื่องจากมีฉากในห้องพิจารณาคดีที่กว้างขวางหลายฉากที่สร้างขึ้นจากบทพูดคนเดียวที่ทรงพลัง นั่นอาจทำให้ผู้ชมทางบ้านนั่งดูในห้องฉายภาพยนตร์ของ Academy ได้ยาก แต่คนอื่นๆ ที่เห็นในโรงละครอาจรู้สึกทึ่งกับมนต์สะกดที่ดื่มด่ำ

 

Corsage

อีกชื่อหนึ่งของ Cannes ที่สร้างจากเรื่องจริงยังเป็นช็อตที่ดีในหมวดหมู่นี้ เนื่องจาก IFC Films กำลังรณรงค์ให้รายการ “Corsage” ของออสเตรียซึ่งฉายรอบปฐมทัศน์ในแถบด้านข้าง Un Certain Regard ของเทศกาล ตั้งอยู่ในกรุงเวียนนาในปี พ.ศ. 2420 ผลงานภาพยนตร์ย้อนยุคอันสลับซับซ้อนของ Marie Kreutzer นำแสดงโดย Vicky Krieps ในบทดัชเชสเอลิซาเบธ Amalie Eugenie ในบาวาเรีย จักรพรรดินีแห่งออสเตรียและสมเด็จพระราชินีแห่งฮังการีเมื่อเธออายุ 40 ปี และต่อสู้กับความแตกต่างของชีวิตราชวงศ์ ในขณะที่ Krieps เผชิญกับการต่อสู้ที่ยากลำบากเพื่อแย่งชิงสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม แต่ความซาบซึ้งในการแสดงของเธอทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับตำแหน่ง Best International Feature Film…

เพราะ “พื้นที่” ทำให้คนตกหลุมรักกันได้เสมอ

เคยสงสัยไหม? ทำไมคนในเมืองใหญ่จากโลกตะวันออกถึงมีแนวโน้มที่จะตกหลุมรักกันได้ตามถนนและซอกซอยต่าง ๆ ได้ง่ายกว่ากรุงเทพมหานครที่อัดแน่นไปด้วยความสะดวกสบายแบบครบครันอย่างบรรดาสารพัดห้างสรรพสินค้า

แม้ความรักจะก่อร่างสร้างตัวด้วยจังหวะและเวลาที่เหมาะสม แต่การออกแบบพื้นที่เมืองก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนตกหลุมรัก พร้อมพัฒนาความโรแมนติกไปสู่ความรักที่ตามหาได้ไม่ยากนัก แล้วความรักกับพื้นที่เกี่ยวโยงกันด้วยปัจจัยใด ลองมาทำความรู้จัก Sense of Place ที่นำมาฝากเล่าสู่กันฟังในวันนี้กัน

หนัง2

 มอง Sense of Place ผ่านภาพยนตร์โรแมนติกอย่าง Midnight in Paris (2011)

“ปารีสตอนฝนตกโรแมนติกเสมอ” เป็นอีกหนึ่งวลีที่แฟนภาพยนตร์ของ Woody Allen อย่าง Midnight in Paris (2011) ต้องรู้จักมักคุ้นในฐานะวลีที่สร้างความหมายของความโรแมนติกให้กับทุกช่วงเวลาของปารีส 

อย่างไรก็ดี หากมองความโรแมนติกผ่านมุมมองเมืองก็จะเห็นได้ว่า หากมองข้ามเรื่องอาชญากรรมและความสกปรกของเมืองออกไป แท้จริงแล้ว ปารีสกลับเป็นเมืองแห่งศิลปะที่ได้รับการออกแบบมาบนพื้นฐานของการจัดการเมืองที่ดีและมองเห็นถึง ‘ชีวิต’ ของคนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งในจุดนี้เอง เมื่อคนสองคนรู้สึกว่าจังหวะชีวิตเอื้ออำนวย แน่นอนว่าความเป็นเมืองของปารีสก็ส่งให้พัฒนาความสัมพันธ์ได้อย่างง่ายดาย 

ทั้งการออกแบบทางเดินเพื่อให้คนเดินมากกว่าถนนสำหรับรถยนต์ ตลอดจนการเปิดพื้นที่กว้างตามฟุตพาธ รวมไปถึงพื้นที่สวนสาธารณะธรรมดาก็ล้วนแล้วแต่เปิดช่องว่างให้หนุ่มสาวได้ทำความรู้จัก หยอกเย้า และเปิดมิติใหม่ให้ความสัมพันธ์เดินหน้าต่อไปได้

หากลองมองในมุมกลับ กรุงเทพมหานครที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าที่แทบจะเหมือนกันทุกแห่ง ตลอดจนทางเท้าที่มาพร้อมขยะ มองไปด้านหน้าก็เจอเสาไฟฟ้า หรือถ้าหันไปด้านข้างก็จะพบเจอกับรถติดที่ยาวหลายกิโลเมตร และแม้แต่การหันไปมองแม่น้ำเจ้าพระยาก็อาจไม่ได้ช่วยพัฒนาความสัมพันธ์เท่าไหร่จากกลิ่น สี และขยะที่ลอยเต็มแม่น้ำก็อาจไม่ได้ช่วยสร้างความโรแมนติกได้มากนัก

แน่นอนว่า หากพูดถึงวันฝนตกแล้ว “กรุงเทพฯ ก็ไม่สามารถโรแมนติกเสมอได้เหมือนกับปารีส” เพราะระบบการออกแบบและจัดการเมืองที่ทำให้น้ำท่วมก็อาจทำให้ความสัมพันธ์จมน้ำ และหลุดลอยหายไปในขณะเดินทางเพื่อกระชับความรู้สึก

 

จะเห็นได้ว่า “พื้นที่เมือง” ที่มาจากการออกแบบอย่างเข้าใจ พร้อมระบบการจัดการบริหารที่เหมาะสมสามารถช่วยเพิ่ม Sense of Place เรื่อง “ความโรแมนติก” ให้กับชีวิตประจำวันได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีดินเนอร์หรู หรือ ห้างสรรพสินค้ารายล้อมเพื่ออำนวยความสะดวกแบบจำเจ

 …

ไปได้ไม่รู้เบื่อ ที่เที่ยวแห่งใหม่ในพัทยา ฟลาวเวอร์ แลนด์ พัทยา

เวลาถึงช่วงเทศกาลหยุดยาวทีไรการมองหาที่เที่ยวใหม่ ๆ ถือเป็นเรื่องท้าทายมาก แต่ถ้าพูดถึงพัทยาเชื่อว่าคงมีคนไม่น้อยบอกในทำนอง “พัทยาไปจนเบื่อแล้ว” แต่เชื่อเถอะหากคุณลองพาเพื่อน หรือแก๊งค์สาวโสดไปยังที่เที่ยวแห่งใหม่อย่าง ฟลาวเวอร์ แลนด์ พัทยา (Flower Land Pattaya) ที่นี่จะทำให้คุณได้ผ่อนคลายจากดอกไม้หลากสายพันธุ์ หลากสีสัน จนลืมพัทยาแบบเดิม ๆ ไปเลย

flowerlandpattaya

ขอบคุณรูปจาก www.facebook.com/flowerlandpattaya.thailand

ตะลุย ฟลาวเวอร์ แลนด์ พัทยา เช็คอินแหล่งดอกไม้นานาพันธุ์ในเมืองพัทยา

กับพื้นที่กว่า 100 ไร่ บนดินแดน ฟลาวเวอร์ แลนด์ พัทยา คุณจะได้พบกับดอกไม้นานาชนิดทั้งไม้ดอก ไม้ยืนต้น และอีกสารพัด บานสะพรั่งพร้อมให้เชยชมแบบไม่รู้เบื่อ โดยที่นี่แบ่งออกเป็น 6 โซน ประกอบไปด้วย

Himmapan Dome ป่าหิมพานต์ที่ถูกสร้างขึ้นตามแนวคิดการเชื่อมต่อระหว่างมนุษย์กับโลกสวรรค์ มีสิ่งที่บ่งบอกถึงป่าหิมพานต์มากมาย อาทิ ต้นมักกะลีผล, สระอะโนดาต, นางกินรี, สัตว์ในป่าหิมพานต์ รวมถึงต้นไม้หายาก

        Eden Dome สัมผัสความงดงามของดอกไม้เมืองหนาวที่ว่ากันว่าสร้างตามแนวคิดจุดกำเนิดอดัมและอีฟ

          Inthanon Dome ตะลุยเส้นทางศึกษาธรรมชาติตามแบบฉบับยอดดอยหลวง เชยชมกุหลาบพันปีพร้อมดอกไม้จากป่าฝนเมืองหนาวอย่างจุใจ

          Magic Tree มีความพิเศษมากมาย อาทิ การสร้างสรรค์แบบ 3 มิติให้เป็นน้ำตกมาลากว่า 5 เมตร และสวนบุปผชาติ

          Ocean Park ตื่นเต้นไปกับการชมสัตว์ใต้ทะเลในอควาเรียมทรงกลมชนิด 360 องศา

          Ocean Flowers ดอกไม้ ต้นไม้นานาพันธุ์ถูกออกแบบในเชิง 3 มิติ สวยงาม ไม่เหมือนใครแน่นอน

ที่นี่เปิดทำการเฉพาะวันเสาร์ – อาทิตย์ ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 2 ทุ่ม ใครเบื่อพัทยาลองไปสัมผัสแล้วจะสนุกยิ่งขึ้นกว่าเดิม ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท เด็กส่วนสูงไม่ถึง 80 ซม. ชมฟรี

 …